Chubu

ตะลุย 2 เมือง Unseen แห่งชายฝั่งทะเลญี่ปุ่น นีกาตะ ยามากาตะ (1/2)

ทริปนี้เป็นทริปที่จะพาไปตะลุยเมืองที่ตั้งอยู่ตามแนวชายฝั่งทะเลอย่าง นีกาตะ ยามากาตะ รวมถึงเกาะซาโดะเราจะพาทุกคนไปพบและสัมผัสเสน่ห์ของ 2 เมือง Unseen ที่มีธรรมชาติเป็นเริ่ด ประวัติศาสตร์วัฒนธรรมเก่าแก่ อาหารการกินอร่อย แถมมีออนเซนดี๊ดี และเปิดประสบการณ์ใหม่กับกิจกรรมที่หาที่อื่นไม่ได้ กันแบบจัดเต็มไปเลย!!

บางท่านอาจจะสงสัยกันว่า 2 จังหวัดนี้มันตั้งอยู่ส่วนไหนของญี่ปุ่นกันนะ นีกาตะ และยามากาตะเป็นจังหวัดที่อยู่ติดกันตั้งอยู่แนวชายฝั่งทะเลญี่ปุ่นทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ถึงแม้ว่า 2 จังหวัดนี้จะอยู่ติดกันแต่ก็จัดว่าอยู่กันคนละภูมิภาค นีกาตะ (Niigata) ตั้งอยู่ในภูมิภาคชูบุ ส่วนยามากาตะ (Yamagata) จะอยู่ภูมิภาคโทโฮคุ แต่การเดินทางไปเที่ยว 2 เมืองนี้ไม่ได้ยากเย็นอะไรเลย ทุกคนสามารถเดินทางจากโตเกียวได้โดยรถไฟชินคังเซน เพียง 2 ชม เท่านั้นเอง!!

ปกติแล้วส่วนมากเราไปเที่ยวญี่ปุ่นเพื่อชมความงามของใบไม้เปลี่ยนสีบ้าง ซากุระบ้าง หิมะบ้าง แต่ไม่ค่อยได้ไปสัมผัสธรรมชาติในช่วงฤดูร้อนเลยเพียงเพราะคิดว่าน่าจะไม่มีอะไรเที่ยวในช่วงฤดูนี้  ซึ่งเราคิดผิดจริงๆ หารู้ไหมว่าญี่ปุ่นเป็นประเทศที่สวยงามและสามารถเที่ยวได้ทุกฤดูเลยจริงๆ และนี้ก็คือจุดเริ่มต้นของการเดินทางในครั้งนี้  เราเลือกที่จะไปเที่ยวทริปสั้นๆในช่วงฤดูร้อน และเลือกไปเมืองที่ว่ากันว่าเป็นเมืองที่ข้าวอร่อยที่สุด สาเกเป็นเริ่ด มีเกาะ Sado ที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทองคำและทัศนียภาพที่สวยงามอย่าง “นีกาตะ” และเมืองที่อยู่เหนือขึ้นไปอีกอย่าง “ยามากาตะ”

พร้อมที่จะลุยไปพร้อมพวกเราหรือยังเอ่ย ตรงนี้เราจะแบ่งเป็น 2 ตอน เพื่อให้เข้าใจง่ายเนอะ โดยในตอนแรกเราจะพาทุกคนไปเที่ยวในโซนของจังหวัดนีกาตะทั้งหมดรวมไปถึงเกาะซาโดะ และสำหรับตอนที่ 2 จะเป็นการพาเที่ยวในส่วนของจังหวัดยามากาตะกันนั่นเอง รวมๆแล้วเราใช้เวลาเที่ยว 2 เมืองนี้ 5 วัน 4 คืน แต่ละสถานที่ๆเราพาไปนั้นมีคนรู้จักน้อย เรียกว่าได้สัมผัสธรรมชาติวัฒนธรรมอันเก่าแก่ของญี่ปุ่นกันแบบเต็มๆ Unseen สุดๆกันไปเลยจ้า

ก่อนอื่นบอกก่อนว่า เส้นทางนี้แนะนำใช้พาส  JR East Pass (Nagano,Niigata area) สำหรับ 5 วัน ใช้แบบไม่ต่อเนื่อง ใช้เที่ยวได้แบบสุดคุ้ม!! ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทางได้เยอะเลย สามารถใช้ขึ้นรถไฟชินคังเซน รถด่วนพิเศษ รถไฟธรรมดา และบัสในเครือของ JR ในบางพื้นที่ที่กำหนด
หรือจะเช่ารถขับเที่ยวชิลๆก็ยังได้ และทริปนี้เราเลือกใช้บริการแท๊กซี่ของเมืองเพื่อไปยังสถานที่ต่างๆถือว่าสะดวกดีมากๆ
ดูรายละเอียดเกี่ยวกับพาสเพิ่มเติมได้ที่ : https://www.jreast.co.jp/e/eastpass_n/

ตอนที่ 1 : ตะลุยสุดยอดที่เที่ยว Unseen นีกาตะ (Niigata)/ เกาะซาโดะ (Sado Island) แบบจัดเต็ม!! 3 วัน 3 คืน

ในตอนแรกพวกเราจะพาทุกคนไปสัมผัสที่เที่ยวและกิจกรรมสุดยอด Unseen ของนีกาตะ เมืองชายฝั่งทะเลที่มีข้าวอร่อยที่สุด สาเกลือเลื่อง ลานสกีมากมี วัฒนธรรมล้ำค่า ประวัติศาสตร์น่าสนใจ มีทัศนียภาพสวยงาม บรรยากาศญี่ปุ๊นญี่ปุ่น และกิจกรรมสุดแปลกนั่งเรืออ่างที่หาที่อื่นไม่ได้ ตามพวกเรามาเลยคร๊า

โปรแกรม : Day 1  ดื่มสาเกหยอดเหรียญ Ponshukan และซื้อของฝาก Gangi-dōri -> มื้อเที่ยงอร่อยกับร้านอาหารเก่าแก่ Yasuyoshi-> เดินเล่นถนนโบราณ Bokushi-dori  เมือง Shiozawa -> หมู่บ้านเพาะและขยายพันธุ์ปลาคาร์ฟ Nishikigoi no sato-> ขอพรศาลเจ้าเก่าแก่ Yahiko Shrine -> พักที่ Shiki no Yado Minoya Ryokan

Joetsu Shinkansen

ออกเดินทางจากสถานี Tokyo มุ่งหน้าสถานี Echiko-Yuzawa นั่งชินคังเซนเพียง ชั่วโมงเศษๆ ก็ถึงสถานีเอจิโกะยูซาวะ และเป้าหมายแรกของเราคือร้านสาเกหยอดเหรียญ Ponshukan ที่อยู่ภายในสถานี Echiko-Yuzawa  แอบคิดเหมือนเราใช่ม๊ะ เคยได้เห็นแต่ตู้น้ำหยอดเหรียญ เครื่องซักผ้าหยอดเหรียญ(ซึ่งอันนี้ไม่เกี่ยว) 😀

ดื่มสาเกหยอดเหรียญ Ponshukan และซื้อของฝาก Gangi-dōri

มาถึงนีกาตะ จังหวัดที่ขึ้นชื่อว่าเป็นจังหวัดที่มีการส่งออกสาเกมากที่สุด ก็ต้องไม่ธรรมดาอยู่แล้ว เราไม่รอช้าทันทีที่ออกจากทางออกรถไฟ รีบตรงไปที่ร้านเลยเพียงแค่ 1 นาที ก็ถึงร้านแล้ว แอบสังเกตคนที่เดินเข้าออกร้านดูหน้าตาเมาๆกันทุกคน พอเข้าไปในร้านถึงกับต้อง อ่ออออออ!! อย่างนี้นี่เอง ไม่เมาให้มันรู้ไปสิ  ตู้กดสาเกเรียงกันเป็นแถวยาววววววววจะกินไงไหวเนี๊ย แต่ใจเย็นๆนะ เขาไม่ได้ให้กินหมดนี่ แต่เราสามารถเลือกดื่มเองได้ เพียงแค่ 500 เยน เราสามารถชิมได้มากสุดถึง 5 ชนิดเลยทีเดียว รู้อยากนี้แล้วจะรออะไร ไปแลกเหรียญสิ

คือที่นี่เแค่เราไปจ่ายตัง 500 เยนจะได้แก้วมา 1 แก้ว พร้อมกับได้เหรียญสำหรับหยอดตู้ 5 เหรียญ บางตู้ใช้หยอด 1  เหรียญ บางตู้ก็ 2 หรือ 3 เหรียญขึ้นอยู่กับชนิดของสาเก หลังจากได้แก้วมาแล้วก็ได้เวลากดแล้วจ้า บนตู้จะบอกปริมาณแอลกอฮอร์อยากดื่มแบบไหนก็เลือกได้ตามใจชอบเลยยยย ถ้าเลือกไม่ถูกทางร้านก็จะมีขึ้นบนกระดานแนะนำอันดับไว้ให้

หลังจากกดมาแล้วก็ต้องไปดื่มคู่กับเกลือและมิโซะแปลกดี แลดูฮาร์ดคอมั๊กๆ  อยากกินก็กดเอาอยากเมาก็กดเอง แต่เบาๆหน่อยนะอย่าหาว่าเราไม่เตือน ร้านนี้คนรักสาเกต้องมาตำเลย!! สำหรับเราแค่ โดยไป 3 แก้ว ก็มึนแว้วววววว ถ้าให้หยอดครบ 5 เหรียญมีหวังวันนี้ได้นอนในร้านสาเกนี่แน่ๆ

ภายในสถานีนอกจากมีร้านสาเกหยอดเหรียญแล้ว ระหว่างทางเดินไปร้านสาเก จะเต็มไปด้วยร้านค้า ร้านอาหารมากมาย รวมไปถึงร้านของฝากพื้นเมือง ซึ่งที่นี่เป็นจุดรวมของฝากของนีกาตะเลย โดยเฉพาะข้าว สาเก ขนม ๆรวมไปถึงผลิตภัณฑ์พื้นเมืองอื่นๆให้เราได้เลือกซื้อเลือกชมกันแบบจุใจเลย

ที่อยู่ : 950-0086 Niigata, Chuo Ward, Hanazono, 1-96-47 CoCoLo新潟 西館 2F
การเดินทาง : จากสถานี Tokyo ลง สถานี Echigo-Yuzawa เพียง 1.20 ชม. โดยชินคังเซน
เว็ปไซต์ : https://www.ponshukan-niigata.com/info

หลังจากเมามายเอ้ยยยม่ายช่ายยย หลังจากสนุกสนานกับการกดสาเกดื่มแล้วก็ปาไปเกือบเที่ยงแล้ว ได้เวลาทานมื้อเที่ยง

มื้อเที่ยงอร่อยกับร้านอาหารเก่าแก่ Yasuyoshi

มื้อเทียงวันนี้เราฝากท้องไว้กับร้านอาหารที่เรียกว่าเก่าแก่และขึ้นชื่อของเมือง “ร้านYasuyoshi” จากตัวสถานีเราเดินไปแค่ 10 นาที ก็ถึงร้านแล้ว ด้วยความหิวเราไม่รอช้ารีบจัดการสั่งเมนูเด็ดของร้านเลยคือ “Maitake Gozen” เป็นเมนูเซ็ตข้าวเทปปุระเห็ดไมทาเกะ ผักภูเขา ซุปเห็ด  บลาๆ ในเซตคือมีมาหลายอย่างมากๆ และที่ชอบที่สุดคือข้าวจ้า มาถึงนีกาตะทั้งทีก็ไม่ผิดหวังจริงๆ ข้าวนุ่มอร่อยมากๆ สมกับเป็นจังหวัดที่มีข้าวที่อร่อยที่สุดในญี่ปุ่นเลย

นอกจากเมนูนี้แล้วก็ยังมีอีกหลากหลายเมนูให้เลือกทาน ป้าเจ้าของร้านบอกว่าที่นี่มีเมนูแต่ละฤดูกาลด้วยนะน่าสนใจเลยทีเดียว ไม่นานอาหารที่สั่งก็มา ถึงกับต้องร้องอู้ววววววววเลยทีเดียว เซ็ตอลังการงานสร้างมากกกกกกก ขอตัวทานก่อนน๊าาาาาาาา

ระหว่างที่ทานไปก็ต้องร้องอูม่ายยยยยยๆๆไป เพราะมันอร่อยสมกับเป็นเมนูแนะนำและร้านดังของที่นี้จริงๆ ระหว่างนั้นคุณป้าเจ้าของร้านน่ารักใจดีมาคุยด้วยพร้อมกับนำเห็ดสดๆๆๆมาโชว์ให้ดู คือเรียกได้ว่าทั้งสด ทั้งใหญ่ ยิ่งเราเป็นคนชอบกินเห็ดอยู่แล้ว บอกเลยว่าหลงรักร้านนี้มากๆ แนะนำทุกคนเลยค่ะร้านนี้มาแล้วไม่ผิดหวัง อาหารอร่อย เจ้าของร้านน่ารักเป็นกันเอง ที่สำคัญราคาไม่แพงด้วย อ่อลืมบอกไปว่าร้านนี้มีเมนูภาษาอังกฤษด้วยนะไม่ต้องกลัวว่าจะอ่านไม่ออก และทราบมาว่าร้านนี้นอกจากกจะเป็นร้านที่ได้รับความนิยมจากคนญี่ปุ่นแล้วต่างชาติก็ไม่แพ้กัน

ที่อยู่ : 328-1,Yuzawa Town, Niigata, Japan 949-6101
เวลาเปิด-ปิด : 11:00-14:30, 17:00-22:00
ว็ปไซต์ : https://www.yasuyoshi.net/s/english/index.html

อิ่มท้องแล้วได้เวลาไปต่อกันแล้วจ้า แพลนของวันนี้ยังเหลืออีก 3 สถานที่ๆเราจะไปกัน เริ่มจากตรงนี้เราเลยเลือกใช้บริการแท๊กซี่ไปยังสถานที่ต่างๆเพื่อความสะดวกและรวดเร็ว เป้าหมายถัดไปเราก็คือถนนเก่าแก่ในยุคเอโดะ

เดินเล่นถนนโบราณ Bokushi-dori  เมือง Shiozawa

 “Bokushi Dori” นั่งแท็กซี่รถประมาณ 20 นาทีก็ถึงที่หมาย ไม่ยักกะรู้ว่าที่นีกาตะมีเมืองเก่าที่น่าสนใจแบบนี้ด้วย
Bokushi Dori เป็นถนนช้อปปิ้งเก่าแก่ ตั้งอยู่ เมือง Shiozawa ของจังหวัด Niigata  ถึงที่นี่จะมีบริเวณไม่ใหญ่มากแต่ให้บรรยากาศราวกับไปเยือนเมืองเก่าหลายร้อยปีได้เป็นอย่างดี ครั้งหนึ่งเคยเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองมากถึงขีดสุด แต่ด้วยกาลเวลาเปลี่ยนไปความเจริญรุ่งเรืองก็ค่อยๆจางหายไป ภายหลังได้รับการอนุรักษ์และปรับปรุงขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
นับว่าเป็นเมืองที่เงียบสงบมาก  ดูมีเส่น่ห์ มีมนต์ขลัง และเต็มไปด้วยเรื่องเล่าประวัติศาสตร์มากมาย

ตลอดสองข้างทางเดินเต็มไปด้วยอาคารบ้านเรือนแบบโบราณ ประกอบด้วยร้านค้าของฝาก ร้านอาหาร ร้านขนม ไว้คอยต้อนรับนักท่องเที่ยวที่ไปเยือน นอกจากจะเดินชมความสวยงามของบ้านเรือน เรายังสามารถเข้าไปดูของล้ำค่าที่ตกทอดกันมาแต่สมัยโบราณที่ชาวบ้านได้นำมาวางโชว์ไว้ให้นักท่องเที่ยวได้ดู บอกเลยว่าหากใครที่ต้องการซึมซับและสัมผัสวัฒนธรรมญี่ปุ่นโดยแท้ มาเลยเมืองนี้คือดีมาก เราใช้เวลาเดินเล่นที่เกือบๆชั่วโมงได้ รู้สึกว่าชอบเมืองนี้มากไม่วุ่นวายดี ไม่ว่าจะมาช่วงไหนๆก็ดีงามโดยเฉพาะถ้ามาช่วงหิมะจะสวยมากๆ ว่ากันว่าเป็นเมืองที่มีหิมะตกหนักเมืองหนึ่งของนีกาตะเลยละ และใกล้กันมีพิพิธภัณฑ์ suzuki bokushi ซึ่งเป็นกวีเอกชื่อดังจากเรื่อง “เล่าเรื่องเมืองหิมะ”  อีกด้วย มันเหมาะมากสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการมาเก็บภาพเมืองเก่าโบราณ เรียกว่าไม่ควรพลาดเลยล่ะค่ะ

ที่อยู่ : Shiozawa, Minamiuonuma, Niigata 949-6408
การเดินทาง  :  สำหรับคนที่ใช้ JR Pass นั่งรถไฟสาย Joetsu จากสถานี Echigo-Yuzawa ลงสถานี Shiozawa เดินต่อประมาณ 10 นาที  หรือ นั่งแท๊กซี่จากสถานี Echigo Yuzawa ประมาณ 20 นาที

หมู่บ้านเพาะและขยายพันธุ์ปลาคาร์ฟ Nishikigoi no sato

เสร็จจากถนนเก่าแก่แล้วก็มาต่อกันที่หมู่บ้านเลี้ยงปลาคาร์ฟ “Nishikigoi no sato” คนรักปลาคาร์ฟปลาสวยงามต้องมา!!  เป็นแหล่งเพาะและขยายพันธุ์ปลาคาร์ฟหนึ่งเดียวในโลก!! ที่มีปลาคาร์ฟสายพันธุ์ต่างๆให้ชมกันมากถึง 100 กว่าสายพันธุ์ด้วยกัน และมีการส่งออกต่างประเทศกว่า 40 ประเทศ

ภายในอาคารจะมีโซนสำหรับเล่าถึงประวัติความเป็นมาของปลาคาร์ฟแต่ละสายพันธุ์ มีวีดีโอให้ชม รองรับ 3 ภาษา อังกฤษ จีน และญี่ปุ่น ถัดมาบริเวณสระข้างในอาคาร เต็มไปด้วยปลาคาร์ฟหลากหลายสีสีนกำลังแวกว่าย รอให้เราไปให้อาหารและเล่นกับเขาอยู่ ตรงนี้เราสามารถติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อขออาหาร และบอกเลยว่าแต่ละตัวมีอายุมากกว่า 30 อัพ และทราบมาว่าบางสายพันธุ์มีอายุมากถึง 220 ปีเลย โอ้วววนี้มันคือสัตว์ดึกดำบรรพ์เลยนะ  คือมีอายุมากกว่าคนเรา 3-4 เท่าเลยนะเนี๊ย ฟังตอนแรกก็ตกใจว่าทำไมปลามีอายุนานจัง

ถัดไปด้านนอกจะถูกจัดเป็นสวนสไตล์ญี่ปุ่น มีปลาคาร์ฟหลากสีเล็กใหญ่ว่ายกันอยู่ทั่วบริเวณคูน้ำ ถ้าอยากได้รูปสวยๆมามุมนี้เลย เรียกว่าสวยทั้งสวนและปลา แต่ถ้าอยากได้รูปแบบใกล้ชิดปลาคาร์ฟสามารถถ่ายรูปและสัมผัสเขาได้ที่สระภายในอาคาร เรียกได้ว่าหาชมได้ยากมาก ถามว่าอยากไปแต่มันอยู่เมืองไหนละ นี่เลยจ้า Nishikigoi no sato ตั้งอยู่เมือง  Ojiya จังหวัด Niigata หรือตามที่อยู่ด้านล่างนี้เลย

ที่อยู่ : 1-8-22 Jonai, Ojiya, Niigata 947-0028
เวลาเปิด-ปิด : มี.ค – พ.ย 9.00 – 18.00, ธ.ค. – ก.พ. 9.00 – 17.00 (ปิด 1 – 3 ม.ค. และ 29 – 31 ธ.ค.)
ค่าเข้าชม : อายุมากว่า 15 ปีขึ้น 510 เยน, 6 – 15 ปี 300 เยน, ต่ำกว่า 6 ปี ฟรี!!
การเดินทาง : แนะนำใช้บริการแท๊กซี่เพื่อความสะดวกในการเดินทาง
เว็ปไซต์ : http://www.nishikigoinosato.jp/

ตอนนี้ก็เวลาบ่าย 3 แล้วเรารีบเดินทางไปต่อที่ศาลเจ้า Yahiko  ซึ่งเรายังใช้บริการแท๊กซี่อยู่เพราะเราเช่าแบบเหมามาทั้งวันจากหมู่บ้านเลี้ยงปลาคาร์ฟไปศาลเจ้า Yahiko เราใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชม. ก่อนเข้าวัดเราแวะเช็คอินและเอากระเป๋าเก็บที่เรียวกังก่อน เพราะที่พักเราอยู่หน้าศาลเจ้าเลย เช็คอินเสร็จเราก็เดินไปศาลเจ้าซึ่งอยู่ใกล้มากจากที่พัก

ขอพรศาลเจ้าเก่าแก่ Yahiko Shrine

วันนี้เป็นวันที่พายุเข้าและพัดผ่านบริเวณนี้พอดี ลมค่อนข้างแรงและน่ากลัวมากๆ แต่ยังไม่เข้าขั้นว่าอันตราย พวกเราก็เลยลุยต่อ เดินไปประมาณ 50 เมตรก็จะพบกับเสาโทริอิสีแดงตั้งตระหง่านอยู่บริเวณทางเข้าศาลเจ้า ก่อนเข้าไปตามธรรมเนียมญี่ปุ่นก็ต้องทำความเคารพ โค้งคำนับ 1 ที แล้วค่อยเดินเข้าไป

หลังจากรอดผ่านเสาโทริอิไป จะพบกับสะพาน Tama no Hashi เป็นสะพานแห่งเทพเจ้า ว่ากันว่าเป็นประตูที่เทพเจ้าใช้เข้ามาสู่โลกมนุษย์  ระหว่างทางเดินไปยังศาลเจ้าเราจะพบกับต้นสนซีดาร์ขนาดใหญ่เต็มสองข้างทางเดิน บวกกับวันนั้นลมแรงมากๆ ยิ่งทำให้ดูน่ากลัวเข้าไปใหญ่ ก่อนจะถึงตัวศาลเจ้าเราพบกับสิ่งนี้ โอ้วมายกอต มีกวางอยู่ในศาลเจ้าด้วย เป็น 10 ตัวเลย แวะถ่ายรูปเขาสักหน่อยแล้วเดินต่อ แต่ก่อนจะเดินเข้าไปยังศาลเจ้า เราต้องชำระร่างกายของเราก่อน

ถึงแล้ว……ตัวศาลเจ้า Yahiko ศาลเจ้าแห่งนี้เป็นศาลเจ้าเก่าแก่ที่สร้างมาตั้งแต่ปี คศ. 711 ชาวญี่ปุ่นนิยมมาขอพรเรื่องความรักและเรื่องธุรกิจ เชื่อกันว่าศาลเจ้าแห่งนี้ถ้าได้มาสักการะขอพรแล้วนอกจะสมหวังเรื่องที่ขอแล้วยังช่วยส่งเสริมดวงชะตาของเราให้ดีขึ้นด้วย  นอกจากตรงนี้แล้วยังมีจุดชมวิวข้างบนเขา เราสามารถนั่งกระเช้าขึ้นไปชมวิวจากข้างบนได้ แต่เสียดายเนื่องจากสภาพอากาศไม่ค่อยเป็นใจเท่าไหร่เราเลยไม่ได้ขึ้นไป ก็ถึงเวลาที่เราจะไปพักผ่อนหย่อนกายที่เรียวกังกันแล้ว

ที่อยู่ : 2887-2 Yahiko, Nishikanbara District, Niigata 959-0393 ญี่ปุ่น
การเดินทาง : ลงสถานี Yahiko และเดินต่อประมาณ 15 นาที
เว็ปไซต์ : http://www.yahiko-jinjya.or.jp/

พักที่ Shiki no Yado Minoya Ryokan

คืนแรกเราจองที่พักไว้ที่ Shiki no Yado Minoya Ryokan หลังจากที่เดินทางเหน็ดเหนื่อยกันมาทั้งวันมันก็จะเพลียๆหน่อย ได้แช่น้ำร้อนคงสบายตัวดีไม่ใช่น้อย เดินถึงที่พักพวกเราก็รีบแปลงร่างอยู่ในชุดยูคาตะแล้วไปรีแลคด้วยการแช่ออนเซ็นสบายตัวสุดๆ

ภาพ :http://www.minoya.net/spa/

ออนเซนของที่นี่เป็นน้ำแร่ธรรมชาติที่มีส่วนผสมของแร่ธาตุแอลคาไล มีสรรพคุณช่วยแก้ปวดเส้นประสาท ปวดกล้ามเนื้อ นอนไม่หลับ, ซึมเศร้า, ช่วยผ่อนคลายจากความเครียดและความเหนื่อยล้า นอกจากออนเซ็นตัวแล้วยังมีออนเซ็นเท้าอยู่บริเวณทางเข้าของ รร เดินเหนื่อยๆก็แวะไปแช่ได้ ฟรี!!

หลังจากเพลิดเพลินกับออนเซ็นแล้วก็ได้เวลาอาหารค่ำของพวกเรา พนักงานพาเดินไปยังห้องอาหารสำหรับพวกเรา มื้อค่ำของพวกเราจะเป็นเซ็ตอาหารญี่ปุ่นที่เรียกว่า “ไคเซกิ” เป็นเซตอาหารญี่ปุ่นแบบเต็มรูปแบบมากๆ ในเซตก็จะประกอบไปด้วย…………..อิ่มแล้วหยังท้องเริ่มตึงหนังตาก็หย่อนตามคงได้ได้เวลาพักผ่อนสำหรับพวกเราแล้ว วันนี้ขอตัวไปนอนก่อนพร้อมกับรูปที่พักสวยๆนะคะ

ที่อยู่ : 2927-1 Yahiko, Nishikanbara District, Niigata 959-0323
การเดินทาง : ลงสถานี Yahiko และเดินต่อประมาณ 13 นาที
เว็ปไซต์ : http://www.minoya.net/

โปรแกรม : Day 2 เดินทางสู่เกาะ Sado -> ทานมื้อเที่ยง Sabo Yamashita -> หมู่บ้านพ่อค้าเดินเรือ Shukunegi -> สัมผัสประสบการณ์นั่งเรืออ่าง “Tarai bune” (Yajima/Kyoshima) -> คาเฟ่น่ารักๆริมทะเล Shimafuumi -> Tabino Hotel Sado -> ชมไลท์อัพ Kitazawa Flotation Plant

เช้าวันที่สอง วันนี้พวกเราจะเดินทางข้ามเกาะไปยัง “เกาะซาโดะ” เกาะที่เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟเมื่อหลายร้อยปีก่อน แล้วเกิดการดันตัวขึ้นมาเป็นอีกหนึ่งเกาะของประเทศญี่ปุ่น สำหรับการเดินทางไปที่เกาะซาโดะนั้นต้องนั่งเรืออย่างเดียว ไม่มีรถไฟชินคังเซนมุดใต้ทะเลเหมือนไปฮอกไกโด เรือก็จะมีหลายแบบทั้งทั้งที่เป็น Car Ferry, Jetfoli, High-Speed car furry, High-speed ferry ซึ่งราคาก็จะแตกต่างกันออกไป

สำหรับวันนี้พวกเราเลือกนั่งเป็นแบบ Car Ferry จากท่าเรือนีกาตะมายังท่าเรือเรียวทสึ เป็นเรือขนาดใหญ่ที่แล่นจากเกาะใหญ่อย่างฮอนชูมายังเกาะเล็กอย่างซาโดะ (Sado Island) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2.30 ชม. ซึ่งก็ถือว่านานพอสมควรสำหรับการนั่งเรือ ฉะนั้นบนเรือเลยมีห้องกิจกรรมต่างๆคอยบริการ คือให้เราเลือกทำหรือเลือกพักผ่อนกันได้ตามอัธยาศัยเลย ไม่ว่าจะเป็นห้องรีแลค ห้องสำหรับเล่นปาจิงโกะ ห้องอาหาร ห้องนอน (มีหลายคลาส) ร้านค้า ตู้เครื่องดื่มหยอดเหรียญ หรือแม้แต่การให้อาหารนกก็เป็นกินกรรมที่ตื่นเต้นดี คือนกจะบินตามเรือเวลาเอาขนมโยนให้บินกันมาเป็น 20-30 ตัว มาแย่งอาหารกันก็จะเสียวโดนจิกหน่อย เรือจะมีด้วยกัน 6 ชั้น ใหญ่โตมโหฬารมาก มีกิจกรรมทำไปด้วยแปบๆก็ถึงละ แต่สำหรับพวกเรานอนสิค่ะ แปบๆถึงเหมือนกัน ฮาๆ สำหรับราคานั้นมีหลายราคาขึ้นอยู่กับคลาส ของเราซื้อตั๋วชั้น2 เที่ยวเดียวอยู่ที่  2,380 เยน สำหรับ Car Ferry มี 6 เที่ยว/วัน

พอข้ามไปถึงเกาะซาโดะแล้วเหมือนเดิมค่ะพวกเราใช้บริการแท๊กซี่และเดินทางต่อไปยัง Shukunegi เพื่อทานอาหารเที่ยงและเดินชมหมู่บ้าน Shukunegi  พอไปถึงเราก็ไปที่ร้าน Sabo Yamashita ก่อนเลยเนื่องจากตอนนี้ก็บ่ายโมงแล้ว ท้องต้องการอาหารด่วนๆ

ข้อมูลเกี่ยวกับเรือ : https://www.sadokisen.co.jp/en

ทานมื้อเที่ยง Sabo Yamashita

เดินไปบรรยากาศเงียบสบาย พอถึงหน้าร้านภายนอกดูเหมือนจะไม่มีอะไรเลย แต่ย่างก้าวเข้าร้านไป บรรยากาศในร้านดูอบอุ่น สบายๆ ตกแต่งสไตล์ย้อนยุคเข้ากับบรรยากาศหมู่บ้านเลย โต๊ะนั่งก็ทำจากเรืออ่างดูคลาสสิคดี

มาดูเมนูกันว่าพวกเราสั่งอะไรมาทานกัน พวกเราสั่งแกงกะหรี่เนื้อ และพิซซ่ามากินกัน ปกติแล้วเราเป็นคนไม่กินแกงกะหรี่ ไม่ว่าจะของไทยของญี่ปุ่นก็ตาม แต่เผอิญว่าเราแอบเห็นของโต๊ะอื่น ก็เลยอยากจะลองสักหน่อย และนี้ก็คือมื้อเที่ยงของพวกเรา

นอกจากเมนูของคาวแล้ว หากเราไม่ต้องการทานหนักๆเราก็มานั่งดื่มชา กาแฟชิลๆหรือจะทานคู่กับวาราบิโมจิก็เข้ากันดี

ที่อยู่ : 442 Shukunegi, Sado, Niigata
เวลาเปิด-ปิด : 10.00 – 16.00 (มื้อกลางวัน 11.00-14.00)
การเดินทาง : นั่งแท็กซี่ 10 นาที จากท่าเรือ Ogi หรือ 1 ชม. จากท่าเรือ Ryotsu หรือ นั่งบัสสาย Shukunegi  ลงป้าย Shukunegi 
เว็ปไซต์ : http://shukunegi.com/en/spot/yamashita/

หลังจากพวกเราเพลิดเพลินกับมื้อกลางวันอันแสนอร่อยแล้วก็ได้เวลาทัวร์รอบๆหมู่บ้านละ

หมู่บ้านพ่อค้าเดินเรือ  (Shukunegi Village)

“หมู่บ้าน Shukunegi” เป็นหมู่บ้านเก่าแก่ที่อยู่ติดทะเลและยังคงอนุรักษ์ความดั้งเดิมเอาไว้ให้เราได้เข้าไปเยี่ยมชมและศึกษาความเป็นอยู่ของคนที่นี่ สมัยก่อนที่นี่เคยเป็นเมืองการค้าที่ถือว่าเจริญรุ่งเรืองมาก และเนื่องจากเป็นพื้นที่ๆติดทะเลและมีการค้าขาย ขนส่งสินค้าทางเรือ หมู่บ้านแห่งนี้จึงเป็นที่อยู่อาศัยของพ่อค้าเดินเรือและต่อเรือ

ปัจจุบันก็ยังคงมีผู้คนอาศัยอยู่จริง เราได้มีไกด์อาสาสมัครทัวร์ตามจุดต่างๆทั่วหมู่บ้านเลย ภายในหมู่บ้านมีบ้านเรือนโบราณและมากกว่า 100 หลังคาเลย บ้านหลังจะเป็นทรงสามเหลี่ยม รูปทรงเรือ และบางหลังเราสามารถเข้าไปชมวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนในแถบนี้ว่าเป็นอย่างไร คนที่นี่ดูแล้วใช้ชีวิตกันเรียบง่าย สงบสุข เงียบๆแต่แฝงด้วยความอบอุ่น นี่ก็เป็นอีกหนึ่งสถานที่ๆมาถึงเกาะนี้แล้วต้องได้มาสัมผัสความดั้งเดิมของคนที่นี่

ที่อยู่ : 393 Shukunegi, Sado, Niigata 952-0612
การเดินทาง : นั่งบัสสาย Shukunegi  ลงป้าย Shukunegi 
เว็ปไซต์ : http://shukunegi.com/en/

เสร็จจากทัวร์หมู่บ้านคนเดินเรือแล้วก็ไปต่อกันเลยนะคะ นั่งรถไปไม่นานแวะชมพิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน Ogi สักหน่อย

ชมพิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน Ogi (The Ogi Folk Museum)

ภายในจะพบกับเรือบรรทุกสินค้าขนาดใหญ่ เป็นเรือที่ถูกจำลองขึ้นมาให้เหมือนของเดิมทุกอย่าง เมื่อย้อนไปในปี 1858 เรือขนาดใหญ่ Sengokubune หรือเรียกว่า “Hakusanmaru” ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้ขนส่งสินค้ากับเมืองอื่นๆในยุคเอโดะ ปัจจุบันได้สร้างขึ้นมาใหม่ให้เหมือนกับของจริงๆอย่างที่เห็นในรูปเลยค่ะ เราสามารถขึ้นไปชมบนเรือได้ 

ถัดไปอีกจะมีห้องสำหรับจัดวางข้าวของโบราณมากกว่า 30,000 อย่าง ที่มีการใช้งานจริงตั้งแต่ยุคเอโดะ มาวางแสดงให้เราได้ชมกันแบบใกล้ชิดเลย

ที่อยู่ : 270-2 Shukunegi, Sado, Niigata 952-0612 
ค่าเข้าชม : ผู้ใหญ่ 500 เยน, เด็กประถมและมัธยม 200 เยน
เวลาเปิด-ปิด : ตั้งแต่ 8:30 น. ถึง 17:00 น.  (ปิดทุกวันจันทร์ ของเดือน ธันวาคม, มกราคา, กุมภาพันธ์ และ 29 ธ.ค – 3 ม.ค ของทุกปี)
การเดินทาง : นั่งบัส Niigata Kotsu Sado ลงที่หน้าพิพิธภัณฑ์เลย
เว็ปไซต์ : https://www.city.sado.niigata.jp/z_ot/cultural_property/museum/02/

ไปต่อกันเลยจ้าได้เวลาไปลองประสบการณ์แปลกใหม่แล้ว ที่เรียกได้ว่าหาดูหาชมและหาลองได้ยาก นอกจากที่นี่ที่เดียว!!

สัมผัสประสบการณ์นั่งเรืออ่าง “Tarai

สัมผัสประสบการณ์นั่งเรืออ่าง “Tarai bune” ที่ เกาะ Yajima เป็นเกาะเล็กๆของเมือง Ogi “ล่องเรืออ่าง” เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมยอดฮิตและเป็นเอกลักษณะของเมือง Ogi  เรือจะเป็นเรือเล็กๆลักษณะคล้ายอ่าง จึงเป็นที่มาของชื่อเรียก ภายในสามารถนั่งได้ 2-4 คน ป้าคนพายเรือฝีพายไม่เลว พาเราล่องไปคุยไปป้าได้เล่าเรื่องราวประวัติความเป็นมาของเรืออ่างนี้ให้ฟัง ป้าคนพายใจดีถามว่าอยากลองพายดูไหม ถ้าดูจากป้าพายแล้วดูง่ายมาก แต่ไปลองพายเองแล้วโอ้วม่ายยยย ไม่ง่ายอย่างที่คิดเลยยยย ตรงกลางของเรือจะเป็นกระจกใสๆสามารถมองเห็นใต้น้ำ ซึ่งเราจะเห็นสาหร่าย หอย และปลาที่กำลังแวกว่ายไปมา ซึ่งกิจกรรมนี้ไม่ได้มีอยู่ทั่วไปในญี่ปุ่น คือต้องมาที่ Sado เท่านั้นน๊า นับว่าเป็นกิจจกรรมที่หาชมและสัมผัสได้ยาก

++นอกจากที่เกาะ Yajima ยังมีที่ท่าเรือโอกิ(Ogi Port) และเกาะเคียวจิมะ(Kyojima) ที่เราสามารถไปสัมผัสและลองเปิดประสบการณ์การล่องเรืออ่าง++

ที่อยู่ : Ogi, Sado City
ค่าบริการ : 500 เยน
เว็ปไซต์ : http://enjoyniigata.com/en/detail/page/detail/5142

สนุกกันพอแล้วเราก็นั่งแท๊กซี่ไปต่อ ระหว่างทางเราได้แวะร้านกาแฟเล็กๆร้านหนึ่งบรรยากาศดีมากๆ

คาเฟ่น่ารักๆริมทะเล Shimafuumi

คาเฟ่เล็กๆริมทะเล มีพื้นที่สวนเล็กๆเอาไว้สำหรับนั่งจิบชา กาแฟ บรรยากาศบ่ายแก่ๆ ริมทะเลกับชาร้อนเมนูโปรดมันช่างฟินมากๆ เป็นร้านที่เหมาะสำหรับมานั่งทานขนม (โดยเฉพาะเมนูขนมปังคือที่หนึ่ง) พักผ่อนเบาๆ รับลมทะเลชิลๆ วิวด้านหน้ามันทำให้รู้สึกอิ่มตาอิ่มใจมากๆแหละ

ที่อยู่ : Sado City, Niigata Prefecture

เกาะซาโดะก็เป็นเกาะหนึ่งของจังหวัดนีกาตะ ถ้าพูดถึงนีกาตะสิ่งแรกๆที่ต้องนึกถึงก็คือ ข้าวและสาเก และแน่นอนว่าเราจะไปต่อกันที่โรงผลิตสาเกระดับพรีเมียมของญี่ปุ่นและได้คว้ารางวัลมามากมาย

โรงผลิตสาเก Manotsuru (Obata Sake Brewery)

ก่อนไปเช็คอินโรงแรม เราได้แวะชิมสาเกจากโรงผลิตสาเกชื่อดังระดับโลก เข้าไปถึงเจ้าหน้าที่จะเปิดวีดีโอขั้นตอนการผลิตและประวัติความเป็นมาให้เราได้ชมกัน ถ้าเราสังเกตเราจะคุ้นหูคุ้นตากับสาเก Mannotsuru  ตามซุปเปอร์หรือตามร้านอาหารทั่วญี่ปุ่น นอกจากวางจำหน่ายในญี่ปุ่นแล้วยังส่งออกนอกหลายประเทศเลยทีเดียว ที่นี่ได้รับการยอมรับเป็นโรงผลิตสาเกที่มีคุณภาพและมีชื่อเสียงโด่งดังในเรื่องการทำสาเกแบรนด์ระดับพรีเมี่ยมแล้ว เขายังได้รับรางวัลมากมาย แน่นอนว่ากว่าจะมาถึงจนนี้นั้น เขาจะต้องมีกระบวนการผลิตที่พิถีพิถันอย่างมาก และต้องเป็นข้าวพันธ์พิเศษสำหรับทำสาเก และคงคอนเซ็ปอนุรักษ์ธรรมชาติ

  หลังจากชมวีดีโอเสร็จเดินเข้าไปอีกห้องจะพบกับสาเกเรียงรายจำนวนมาก พร้อมมีเจ้าหน้าที่คอยต้อนรับพร้อมกับแนะนำสาเก ไวน์ รสต่างๆให้ได้ชิมกัน  พร้อมกับมีของฝากมากมาย เช่น เครื่องเคียงกินแกล้มสาเก ขนมที่ทำจากสาเก หรือแม้แต่เค้กสาเก ให้เราได้เลือกซื้อติดไม้ติดมือกลับอีกด้วย เจ้าหน้าที่น่ารักมาก ให้ชิมแบบไม่หวงเลย ทำเอาเราและเพื่อนๆหน้าแดงกันเลยทีเดียว ไม่ได้อายนะแต่เริ่มมึน!!

ที่อยู่ : 449,Manoshinmachi,Sado-city, Niigata 952-0318,Japan
เวลาเปิด-ปิด : 8.00 – 17.00 น.
เว็ปไซต์ : https://www.obata-shuzo.com/en/tour.asp

นี่ก็เริ่มจะค่ำละ เสร็จจากชิมสาเกและได้ของฝากติดไม้ติดมือกันแล้วถึงเวลาเข้าโรงแรมเช็คอินเก็บกระเป๋ากันก่อนและคืนนี้พวกเราพักกันที่ Tabino Hotel

เก็บกระเป๋ากันเรียบร้อยแล้วก็ได้เวลามื้อค่ำของพวกเรา เราทานมื้อค่ำกันที่ห้องอาหารของโรงแรมเลยซึ่งถือว่าสะดวกดีมาก เสร็จจากทานข้าวพวกเรามีนัดไปชมไลท์อัพต่อ

ชมไลท์อัพ Kitazawa Flotation Plant

หลังจากอิ่มอร่อยจากมื้อค่ำแล้ว พวกเราก็รับขึ้นแท๊กซี่มาที่  Kitazawa Flotation Plant เพื่อชมไลท์อัพ ซึ่งอยู่ใกล้กับเหมือง Sado Gold Mine ที่นี่เคยเป็นโรงงานอุตสาหกรรมเหมืองทองคำ จุดนี้จะเป็นเป็นในส่วนของโรงงานสกัดสารโลหะ

ปัจจุบันก็ยังคงหลงเหลือโครงสร้างอาคารเก่าๆที่ถูกหญ้าเลื้อยปกคลุมไว้ให้เห็นกัน  กลางคืนเราสามารถไปชมไลท์อัพได้ ซึ่งให้บรรยากาศที่แปลกใหม่ดี จะว่าวังเวงก็วังเวง จะว่าสวยก็สวย แต่เป็นอีกหนี่งการแสดงไฟที่ถือว่าสวยงามและแปลกดี

บรรยากาศกลางวัน

ที่อยู่ : 3-2 Aikawa Kitazawamachi, Sado, Niigata 952-1539
ค่าเข้าชม : ฟรี
ช่วงเวลา : สามารถเข้าชมไลท์อัพได้ ตั้งแต่ 20 เมษายน 2019 ไปจนถึง กลางมกราคม 2020 เวลา 19:00–22:00 น
การเดินทาง : นั่งบัส ลงป้าย Aikawa Hakubutsukanmae(สาย Honsen (Main Line) และสาย Nanaura Kaigansen) เดินต่อประมาณ 2 นาที หรือนั่งแท๊กซี่จากท่าเรือเรียวทสึประมาณ 50 นาที
เว็ปไซต์ : https://www.visitsado.com/en/spot/detail0091/

พักที่ Tabino Hotel

โรงแรมใหม่ที่เพิ่งเปิดเมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมา โรงแรมตั้งอยู่ใจกลางเกาะซาโดะ สะอาด ใหม่ ห้องกว้างขวาง มีออนเซนให้แช่ มีห้องอาหารรองรับสำหรับลูกค้าที่เข้าพัก พนักงานต้อนรับและแนะนำดูแลดีมาก ห้องเปิดด้วยระบบคีย์การ์ด ความปลอดภัยสูง คะแนนเต็ม 10 เราให้ 10 เลยค่ะ ภายในห้องก็ทั่วไปเลยค่ะ มีทีวี ตู้เย็น กาน้ำร้อน โต๊ะทำงาน โต๊ะสำหรับนั่งจิบชากาแฟ ผ้าเช็ดตัว ไดร์ และอุปกรณ์อาบน้ำให้ ฟรี Wifi ทุกห้อง สัญญาณลื่นปรื๊ด สำหรับใครที่ขับรถไปที่นี่มีที่จอดรถให้ฟรี รองรับได้ถึง 57 คัน และนี้แหละคือผลเหตุที่ทำให้เราเลือกพักที่นี่กัน

ที่อยู่ : 113-12 Chitose Sado City, Niigata Prefecture 952-1209 
เวลา Check-in/out : Check-in 15:00 / Check-out 11:00
เว็ปไซต์ : http://sado.tabino-hotel.jp/overview.html

โปรแกรม : Day 3 ชมวิวหน้าผา Senkakuwan Ageshima Yuen-> เหมืองทอง Sado Gold Mine->มื้อเที่ยง Yorukande-> เดินทางกลับมายังเกาะใหญ่ด้วย Jet foil -> พิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมนอร์ทเทิร์น (Northern Culture Museum)-> ชมสะพาน Bandai ที่  Niigata Nippo MEDIA SHIP->มื้อค่ำ Fujishi Niigata Bandai->พักที่Ramada Hotel Niigata

วันนี้ก็ยังคงอยู่ที่เกาะ Sado สำหรับโปรแกรมที่แรกของเราวันนี้คือ เราจะพาไปชมวิวหน้าผาที่ Senkakuwan Ageshima Yuen หน้าผาที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติจากการเซาะกร่อนของน้ำและลมทะเลจนกลายมาเป็นสถานที่สวยงามให้เราได้ชมกันในวันนี้นั่นเอง

ชมวิวหน้าผา Senkakuwan Ageshima Yuen

Senkakuwan Ageshima Yuen เป็นสุดยอดจุดชมวิวที่มีเสน่ห์ และสวยมากๆ เรียกว่าติดอันดับ 5 ของจุดชมวิวที่สวยที่สุดของอ่าว Senkakuwan ที่นี่ถูกกำหนดให้เป็นอุทยานแห่งชาติเมื่อปี 1950 นอกจากจะเพลิดเพลินกับการถ่ายรูปแล้วที่นี่ยังสามารถเพลิดเพลินด้วยการล่องเรือรอบอ่าวได้อีกด้วย หน้าผาสูงสลับซับซ้อนตัดกับคลื่นน้ำทะเลสีครามเป็นวิวที่เหมาะแก่การไปดื่มด่ำมาก เดินลงจากรถก็ต้องร้องว้าววแล้วละ เป็นอะไรที่ตื่นตาตื่นใจมาก สายถ่ายภาพไม่ควรพลาด!! บอกเลยว่าเด็ดไม่ผิดหวังจริงๆ

ที่อยู่ : Kita-ebisu – Himezu Sado, Niigata
การเดินทาง :  จากท่าเรือเรียวทสึ รถยนต์ 60 นาที, บัส สาย Kaifu ลงป้ายรถบัส Senkakuwan Ageshima Park (尖閣湾揚島遊園)
เว็ปไซต์ : https://www.visitsado.com/en/spot/detail0035/

ต่อด้วยชมเหมืองทองพวกเราจะพามาชมวิถีชีวิตเรื่องราวความเป็นมาของคนที่ทำอาชีพขุดทองในยุคสมัยก่อนว่าเขาใช้ชีวิตอยู่ในถ้ำเป็นเวลาหลายๆเดือนกันยังไง

เหมืองทอง Sado Gold Mine

ในอดีตเกาะซาโดะเคยเป็นแหล่งขุดทองแหล่งใหญ่ของญี่ปุ่น และ“เหมืองทอง Sado Gold Mine ” ก็เรียกว่าเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมขุดทองที่ผลิตทองคำได้มากสุดถึง 400 กิโลกรัมเลยต่อปีเลยทีเดียว เจ้าหน้าที่พาเดินเข้าไปตามทางเดินอุโมงค์ลึก ซึ่งข้างในอากาศเย็นเยือกพร้อมกับหุ่นจำลองตามจุดต่างๆทำเอาหลอนพอสมควร เส้นทางการขุดทองให้นึกภาพรังมดใต้ดิน อย่างนั้นเลยค่ะ

แต่ละจุดจำลองขั้นตอนการขุดทองโดยจำลองจากสถานการณ์จริงๆและเรื่องราววิถีชีวิตของคนงานที่นั่นในยุคเอโดะ และปัจจุบันยังคงอนุรักษ์เอาไว้ให้คนรุ่นหลังได้เข้าไปชมไปศึกษา เชื่อแล้วว่าเกาะนี้โด่งดังเรื่องทองคำจริงๆ  บรรยากาศข้างในทำเอารู้สึกเหมือนว่าเรากำลังหลุดไปอยู่ในยุคนั้นเลย  ไม่ต้องห่วงว่าจะไม่เข้าใจ แต่ละจุดมีภาษาอังกฤษอธิบายตรงป้าย รู้เลยว่าการขุดหาทองนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เข้าไปอยู่ข้างในไม่เห็นเดือนเห็นตะวันกันเลยทีเดียว ข้ามไปเกาะซาโดะแล้วเป็นสถานที่อีกหนึ่งจุดที่มากคุณค่าแก่การไปชม เสร็จจากชมเหมืองทอง

กิจกรรม

นอกจากชมเหมืองทองแล้ว เรายังเพลิดเพลินกับกิจกรรมต่างๆของที่นี่ พวกเราเลือกทำกิจกรรมงานฝีมือแปะแผ่นทองคำเปลวบนจาน  เจ้าหน้าที่จัดเตรียมอุปกรณ์ไว้ให้เรียบร้อย พร้อมกับสอนวิธีการทำ ได้รับความช่วยเหลือและแนะนำจากเจ้าหน้าที่เป็นอย่างดี เสร็จแล้วเจ้าหน้าที่ใจดีให้กลับมาเป็นของที่ระลึก

โซนของฝากของที่ระลึก

ที่อยู่ : 1305 Shimoaikawa, Sado City, Niigata Prefecture 952-1501
เวลาเปิด-ปิด : เมษายน – ตุลาคม : 8:00-17:30, พฤศจิกายน – มีนาคม : 8:30-17:00
การเดินทาง : จากท่าเรือเรียวทสึ โดยรถยนต์ประมาณ 1 ชม,โดยบัส 1 ชม. (มีบัสบริการรับส่งแต่ขึ้นอยู่กับแต่ละฤดูกาลและในแต่ละวัน
เว็ปไซต์ : http://www.sado-kinzan.com/

ชมเหมืองทองคำเสร็จ พวกเรานั่งแท๊กซี่ต่อจากเหมืองทองมาท่าเรือเรียวทสึใช้เวลาประมาณ 40 นาที  เพื่อมานั่งเรือข้ามไปยังเกาะใหญ่ พวกเรามาถึงท่าเรือราวๆ บ่ายโมงเศษๆ แต่เที่ยวเรือของเราคือ 14.25  มีเวลาชั่วโมงกว่าๆ และตอนนั้นพวกเราก็ยังไม่ได้ทานมื้อเที่ยง พวกเราเลยเลือกฝากท้องไว้กับร้าน Yorukonde

มื้อเที่ยงร้าน Yorukonde  

ร้านอาหารที่อยู่บนชั้น 3 ของอาคารท่าเรือเรียวทสึ (Ryotsu) ซึ่งถือว่าสะดวกสบายมาก ถ้าเราเลือกมาทานอาหารที่นี่ระหว่างรอหรือลงจากเรือ ร้านมีเมนูให้เลือกทานหลายเมนูเลย เช่น ทงคัตสึ ข้าวหน้าปลาดิบ หรือ Kaisen Don หอยนางรมทอด แซนวิช พาสต้า ราเมน เซตเมนูปลาต่างๆทั้งดิบสุกมีหมด และอื่นๆ สั่งไปไม่นานก็ได้อาหารแล้ว  เดี๋ยวพวกเราขอตัวไปทานแล้วน๊า Itadakimasu~

ที่อยู่:353-1, Minato, Ryotsu, Sado City, 952-0014
เปิด-ปิด:เปิดทุกวัน 8.00 -20.00 น.

อิ่มจากมื้อเที่ยงก็ได้เวลามารอขึ้นเรือกลับเข้าฝั่งกันแล้ว หลังจากติดเกาะมา 2 วัน ขากลับเราซื้อเป็นตั๋ว Jetfoli เป็นเรือด่วนใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมงกับอีก 5 เท่านั้น ก็ถึงท่าเรือนีกาตะแล้ว

ข้อมูลเรือข้ามเกาะ : https://www.sadokisen.co.jp/en/faretables/faretable-route1-j

ถึงท่าเรือนีกาตะแล้ว……พวกเราได้เช่าแท๊กซี่ต่อซึ่งได้นัดแนะกันไว้แล้ว ไม่รอช้าแท๊กซี่รีบพาบึ่งรถไปที่พิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมนอร์ทเทิร์น (Northern Culture Museum)

พิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมนอร์ทเทิร์น (Northern Culture Museum)

“พิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมนอร์ทเทิร์น (Northern Culture Museum)” คฤหาสน์อันใหญ่โตของตระกูล Ito Bunkichi ผู้มั่งคั่งในยุคเอโดะ และมีการสืบทอดต่อกันมา 8 รุ่น หรือราว 250 ปี ปัจจุบันเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ให้ผู้คนได้เข้าชมความสวยงามของศิลปะและสถาปัตยกรรมในยุคนั้น

ระหว่างเดินชมเราจะพบกับข้าวของเครื่องใช้ในยุคนั้นๆถูกแสดงจัดโชว์ตามจุดต่างๆของบ้าน นับว่าเป็นบ้านที่มีขนาดใหญ่โตมากๆ ใช้เวลาเดินอยู่นานพอสมควร แต่ละห้องก็จะมีประวัติความเป็นมาที่ล้วนแต่น่าสนใจให้อยากศึกษา และพวกเราโชคดีมากๆได้รับอนุญาติให้เข้าไปยังห้องลับของตระกูลที่มีรูปของต้นตระกูลและผู้สืบทอด รวมถึงของสำคัญถูกเก็บในห้องนั้นที่ปกติแล้วจะไม่เปิดให้ใครเข้าไป แต่น่าเสียดายที่บริเวณนี้ไม่สามารถถ่ายรูปมาให้ชมกันได้เนื่องจากเป็นข้อห้าม ที่นี่ยังใช้ได้รับให้เป็นเจ้าภาพในการเลี้ยงรับรองงานสำคัญต่างๆ

ในยุคนั้นบ้านหลังนี้สามารถจุคนได้มากถึง 60 คนเลยทีเดียว ภายในมีสวนสไตล์ญี่ปุ่นที่ถูกจัดไว้อย่างสวยงาม ประกอบกับบริเวณห้องโถงของบ้านที่แต่ก่อนใช้เป็นห้องที่ทำพิธีต่างๆ นับว่าเป็นมุมที่รีแลคมาก เหมาะแก่การนั่งชิลชมสวนมาก ในแต่ละฤดูเราจะเห็นทัศนียภาพที่สวยงามแตกต่างกันออกไป  นอกจากนี้ยังมีจุดอื่นๆที่น่าสนใจมากๆ ยกนาฬิกาดูก็ได้เวลาปิดแล้ว พาเดินชมกันเพลินจนลืมเวลากันเลยทีเดียว

บรรยากาศโดยรอบ

ที่อยู่ : 2-15-25 Soumi, Konan Ward, Niigata, 950-0205
ค่าเข้าชม : ผู้ใหญ่ 800 เยน, นักเรียนประถมและมัธยมต้น 400 เยน (นักเรียนประถมและมัธยมต้นสามารถเข้าชมได้ฟรีในวันอาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์)
เวลาเปิด-ปิด : เมษายน – พฤศจิกายน  9.00 – 17.00 / ธันวาคม – มีนาคม 9.00 – 16.30
การเดินทาง : จากสถานี Niitsu นั่งแท็กซี่ประมาณ 5 นาที
เว็ปไซต์ : http://hoppou-bunka.com/english/

นั่งแท็กซี่กลับมายังสถานีนีกาตะเพื่อเช็คอินโรงแรมและเก็บสัมภาระ ซึ่งตอนนี้ก็ค่ำล่ะ พวกเรามีนัดไปชมสะพาน Bandai ซึ่งเป็นสัญญาลักษณ์ของจังหวัดนีกาตะ เก็บสัมภาระเรียบร้อยพวกเรานักเจอกันล๊อบบี้โรงแรม แล้วเดินไปยังสะพาน Bandai

ชมสะพาน Bandai ที่  Niigata Nippo MEDIA SHIP

กลางคืนเดินเล่นชิลๆไปชมวิวกลางของเมืองนีกาตะและชมสะพาน Bandai ที่  “Niigata Nippo MEDIA SHIP” หลายคนคง งง ว่าทำไมต้องไปชมสะพานนี้ สำคัญยังไง? สะพานแห่งนี้เป็นสะพานข้ามแม่น้ำ Shinano และเป็นสะพานที่เชื่อมระหว่างชุมชนสำคัญๆของจังหวัดนีกาตะ จึงเป็นสัญลักษณะของเมืองนีกาตะเลย เขาบอกว่าถ้ามาถึงนีกาตะแล้วไม่ไปชมสะพานบันไดแสดงว่ามาไม่ถึง บริเวณชั้นบนจุดชมวิวจะมีคาเฟ่ ให้เราได้นั่งดื่มด่ำวิวในยามค่ำคืนของเมืองนีกาตะได้รอบทิศ  ที่สำคัญชมฟรีจ้า

Niigata Nippo MEDIA SHIP และภายในตึก

วิวบรรยากาศกลางคืนเมืองนีกาตะ

ที่อยู่ :  3-1-1 Bandai, Chuo Ward, Niigata, 950-0088
เวลาเปิด-ปิด : 8:00 – 23:00
การเดินทาง : เดินจากสถานี Niigata ประมาณ 10 นาที

ท้องร้องจอกๆ เป็นสัญญาณว่าได้เวลาของมื้อค่ำแล้ว อิ่มตากับภาพวิวสวยๆของเมืองนีกาตะแล้ว  รีบเดินดิ่งตรงไปที่ร้านซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตึกชมวิวเท่าไหร่ เดินประมาณ 3-4 นาทีก็ถึงแว้ววว

มื้อค่ำ Tomi Sushi Nigata Bandai

และสำหรับตอนนี้เราจะมาปิดท้ายกันด้วยมื้อค่ำกับเซตซูชิจากร้านอาหารที่จัดว่าเป็น 1 ในร้านซูชิที่ดีที่สุดของนีกาตะ และเป็นร้านที่เปิดมานานมากถึง 65 ปี ร้านระดับนี้แล้วแน่นอนว่าทางร้านคัดสรรแต่วัตถุดิบดีๆมีคุณภาพ ทั้งสดใหม่แบบวันต่อวันมาปรุงมาเสิร์ฟให้กับลูกค้า เซตนี้ประกอบไปด้วย ซูชิ ไข่ตุ๋น ซุปมิโซะ ไอศครีมถั่วแระ เห็นแค่นี้ก็เล่นเอาอิ่มพุงกางกันเลยละ

ที่อยู่ : 3-1-1 Bandai Shine Mall 7F, Bandai, Chuo-ku, Niigata 950-888
เวลาเปิด-ปิด : มื้อเที่ยง 11.30-15.00 มื้อเย็น 17.00-22.00
เว็ปไซต์ : https://www.tomizushi.com/en/

อิ่มแล้วก้ได้เวลาเข้าที่พัก พักผ่อนเก็บแรงไว้ลุยต่อให้วันพรุ่งนี้สำหรับคืนนี้พวกเราพักกันที่โรงแรมในตัวเมืองนีกาตะ

พักที่ Ramada Hotel Niigata

โรงแรมตั้งอยู่หน้าสถานีนีกาตะเลย เดินทางสะดวกสบายมากๆ เดินเพียง 2 นาทีจากสถานี  รอบๆโรงแรมมีร้านค้า ร้านอาหาร ร้านสะดวกซื้อมากมาย ภายในห้องพักสะอาดเรียบร้อย ห้องไม่เล็กและไม่ใหญ่เกินไป กระทัดรัดกำลังดี มีอุปกรณ์ครบครัน อุปกรณ์อาบน้ำ ผ้าเช็ดตัว ตู้เย็น ไดร์ ทีวี โต๊ะทำงาน Free Wifi  และที่ชอบคือมีเครื่องกรองอากาศให้ด้วย บริเวณชั้น 5 และชั้น 11 มีบริการเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญ ตู้กดน้ำ และไมโครเวฟสำหรับอุ่นอาหาร ที่นี่เข้ามีบริการอาหารเช้าแบบหลากหลาย จะเลือกทานแบบอเมริกัน อิตาเลี่ยนหรือแบบญี่ปุ่นก็ตามที่ชอบเลย แนะนำจองห้องพักพร้อมอาหารเช้าไปด้วยเลยเพื่อความสะดวก

ที่อยู่ : 1-2-4, Benten, Chuo-ku, Niigata city, Japan 950-0901
การเดินทาง : โรงแรมตั้งอยู่หน้าสถานี Niigata เดิน 2 นาที จากสถานี
เว็ปไซต์ : https://ramadahotel-niigata.com/en/

และสำหรับในตอนแรก เป็นการเที่ยวในโซนนีกาตะและเราขอปิดท้ายด้วยภาพสวยๆของนีกาตะแล้วกัน หรือหากใครที่อยากเที่ยวแค่นีกาตะก็ลอกโปรแกรมไปได้เลย แบบทริปสั้นๆ 3 วัน 3 คืน สำหรับตอนต่อไปเราจะเดินทางข้ามภูมิภาคขึ้นไปยังจังหวัดยามากาตะ เมืองที่อยู่เหนือนีกาตะขึ้นไปอีก เราจะพาไปตะลุยที่ไหนกันบ้าง รอติดตามชมในตอนต่อไป

อ่าน : ตอนที่ 2 ตะลุยสุดยอดที่เที่ยว Unseen ยามากาตะ (Yamagata) แบบจัดเต็ม!! 2 วัน 1 คืน

To Top