NEWS update !!!

ตะลุย 2 เมือง Unseen แห่งชายฝั่งทะเลญี่ปุ่น นีกาตะ ยามากาตะ (2/2)

อ่าน : ตอนที่ 1 ตะลุยสุดยอดที่เที่ยว Unseen นีกาตะ (Niigata)/ เกาะซาโดะ (Sado Island) แบบจัดเต็ม!!3 วัน 3 คืน

ตอนที่ 2 ตะลุยสุดยอดที่เที่ยว Unseen ยามากาตะ (Yamagata) แบบจัดเต็ม!! 2 วัน 1 คืน

สำหรับตอนนี้เราจะพาทุกคนเดินทางข้ามภูมิภาคกันจากชูบุไปยังโทโฮคุ ฟังดูเหมือนไกลแต่จริงๆแล้วแค่หลับตาและลืมตาก็ถึงแล้ว แหนะ!! เดี๋ยวจะหาว่าเราพูดเล่น!! วันนี้เราจะเดินทางไปยังจังหวัดยามากาตะ เป็นจังหวัดที่อยู่ติดกันกับนีกาตะขึ้นไปทางตอนเหนือ ซึ่งถือว่าเป็นเมืองที่มากด้วยเรื่องราวประวัติศาสตร์ และมีธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ไม่แพ้กับนีกาตะ ถ้าพูดถึงยามากาตะหลายคนคงนึกถึง Mt. Zao และ กินซังออนเซน แต่วันนี้เราจะไม่ไปที่นี่กัน เราจะพาทุกคนไปตะลุยสถานที่อื่นๆที่น้อยคนจะรู้จัก และจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ยามากาตะไม่ได้มีแค่ Mt.Zao และกินซังออนเซน ตามเรามากันเลย~

ปรแกรม : Day 4 Fruit shop Aomoriya ->เจดีย์ 5 ชั้นเขา Haguro -> Shonai Tourist Souvenir Center -> เก็บองุ่น Sakuma Rihei Tourism Farm -> แวะร้านค้าท้องถิ่น (Sanchokuaguri) -> ชมพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ Kamo -> พักที่ Hotel Sun Resort Shonai

อรุณสวัสดิ์เช้าวันที่ 4 หลังจากที่พวกเราทานอาหารเช้า และเช็คเอ้าท์กันเสร็จสรรพ ก็พร้อมออกเดินทางไปต่อ อย่างที่ได้บอกไว้ด้านบนว่าเราจะเดินทางไปยังจังหวัดยามากาตะกัน ปลายทางคือสถานี Tsuruoka ซึ่งเราเลือกเดินทางโดยรถไฟ เราซื้อตั๋วรถไฟไว้เที่ยว 8.22 น. ใกล้เวลาพวกเราไปยืนรอที่ชานชาลา

ไม่นานรถไฟก็มา ทุกคนรู้หน้าที่รีบขึ้นและไปยังที่นั่งของตัวเอง อย่างที่ทราบกันว่ารถไฟญี่ปุ่นนนั้นจอดตรงและออกตรงเวลา ถ้าเราชักช้าอาจไม่ทันการ อ่อลืมบอกไปว่าเรานั่งสาย Ihaho ซึ่งเป็นรถไฟสายด่วนที่วิ่งระหว่าง Niigata ไปยัง Akita ซึ่งเป็นสถานีปลายทาง พวกเราใช้เวลาอยู่บนรถเกือบ 2 ชั่วโมงก็ถึงสถานี Tsuruoka

และเช่นเคยจ้าพวกเราเรียกใช้บริการแท๊กซี่ เพื่อความสะดวกสบาย และไม่รอช้าเป้าหมายแรกของเราคือ ต้องได้แวะร้านขายผลไม้ซึ่งภายในร้านก็มีคาเฟ่เล็กๆน่ารักๆอยู่ด้วย พวกเราจะต้องเติมพลังกันก่อนเพราะที่หมายถัดไปพวกเราจะต้องเดินขึ้นเขาลงเขากันอีกเยอะ

Fruit shop Aomoriya ร้านขายผลไม้อาโอโมริยะ & คาเฟ่เล็กๆ

ร้านผลไม้ที่ไม่ใช่เพียงแค่ขายผลไม้ ที่นี่เขามีคาเฟ่เล็กๆน่ารักๆ ตกแต่งโทนสีขาว สไตล์กันเอง ดูอบอุ่นๆ ไหนๆก็แวะแล้วเราสั่งชามาจิบคู่กับเค้กผลไม้ซึ่งบอกเลยว่าอร่อยมว๊ากกกกกกกกก นอกจากนี้เราสามารถเพลิดเพลินกับเมนูขนมหวานที่ทำจากผลไม้ตามฤดูกาลหรือแม้แต่ผลไม้หายาก

ผลไม้ของที่นี่สดใหม่จากสวนทั้งหมด หากใครไม่สะดวกไม่เลือกซื้อที่ร้าน ทางร้านมีบริการสั่งออนไลน์ด้วย เรียกว่าสะดวกทุกช่องทางเลยทีเดียว

ที่อยู่ : Fruit Shop Aomoriya 7-24 Suehirocho, Tsuruoka City, Yamagata Prefecture
เวลาเปิด-ปิด : 8.30-19.00 (Tartlets and cafes 10.30-19.00)
เว็ปไซต์ : http://www.aomoriya0235220341.co.jp/index.html

เพลิดเพลินกันพอแล้วก็ได้เวลาไปต่อ โดยสถานที่ถัดไปเราจะพาทุกคนเข้าป่ากัน แต่ป่านี้ดีป่านี้มีความหมาย นั่งแท็กซี่ประมาณ 30-40 นาทีก็ถึงแล้วจ้า

เจดีย์ 5 ชั้น เขา Haguro

ได้เวลาออกกำลัง เอาไขมันและของที่เพิ่งทานไปออกแล้วววว ตามธรรมเนียมจ้าทางเดินเข้าจะพบกับประตูทางเข้าใหญ่ ก็ทำความเคารพก่อน มองไปเห็นเส้นทางแล้วถึงกับเหงื่อตก ขาไปไม่เท่าไหร่เพราะเดินลงอย่างเดียว แต่ขากลับนี่สิ

ธรรมชาติระหว่างทางเดิน

สักพักเราก็เดินไปถึงเจดีย์ 5 ชั้น ตัวเจดีย์ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาฮากุโระ ซ่อนตัวอยู่กลางป่าทึบที่เต็มไปด้วยต้นสนซีดาร์ เป็นเจดีย์ที่เรียกว่ามีอายุยาวนานมากถึง 600 ปี ตัวเจดีย์สร้างด้วยไม้แล้วเคลือบด้วยแลกเกอร์เท่านั้น  แน่นอนว่าต้องเป็นเจดีย์ที่แข็งแรงมากๆที่สามารถ ผ่านแดด ผ่านฝน ผ่านพายุ ผ่านหิมะ มาเป็นเวลาหลายร้อยปี ข้างกันมีต้นสนขนาดใหญ่อายุ 1000 ปี มีเส้นรอบวงถึง 10 เมตร และได้รับการจดทะเบียนให้เป็นสมบัติของชาติในปี 1966 ความสวยงามของเจดีย์เปลี่ยนไปตามฤดูกาลต่างๆ

สำหรับเส้นทางนี้เรียกว่าเป็นเส้นทางแสวงบุญ สามารถเดินเท้าสัมผัสธรรมชาติและขึ้นบันไดหินจำนวน 2,446 ขั้น หรือเกือบๆ 2 กม. เพื่อไปสักการะขอพรศาลเจ้าฮากุโระบนเขา   แต่พวกเราไปถึงแค่ตัวเจดีย์ เนื่องจากเวลาไม่พอ  เขานี้ว่ากันว่าเป็น 1 ใน 3 ยอดเขาศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนาม เดวะ ซันซัน (เดวะ 3 ภูเขา)

ที่อยู่ : Haguro-machi, Tsuruoka-shi, Yamagata
การเดินทาง : ใช้บริการแท๊กซี่จากสถานี Tsuruoka เพียง 30-40 นาที หรือ นั่งบัสจากสถานี Truruoka  ลงป้าย Haguro Zuishinmon 
เว็ปไซต์ : https://hagurokanko.jp/

พลังที่เติมมาหมดไปกับการเดินขึ้น-ลง เขา พวกเรารีบขึ้นรถและมุ่งตรงไปที่ Shonai Tourist Souvenir Center เพื่อทานมื้อกลางวัน เติมพลังกลับคืน

แหล่งรวมของฝากขนาดใหญ่ของโซไน (Shonai Tourist Souvenir Center)

ที่นี่เป็นแหล่งรวมสินค้าของฝากของที่ระลึกที่ติดอันดับหนึ่งในร้านขายของที่ระลึกที่ดีที่สุดของญี่ปุ่นเชียวละ  ภายในอาคารมีของที่ระลึกมากมายให้เราได้เดินเลือกชมกัน เรียกได้ว่าเขาได้รวมเอาผลิตภัณฑ์พื้นเมืองมาไว้ที่นี่ที่ ไม่ว่าจะเป็น ขนมนมเนย วัตถุดิบในการปรุงอาหาร ผัก ผลไม้ อาหารทะเลสด/แห้ง หรือของฝากน่ารักๆมากมาย โอ้ยยยสารพัดอย่าง และภายในมีร้านอาหารคอยบริการ คือครบวงจรมาก

โซนของฝาก

ซึ่งมื้อเที่ยงของพวกเราก็เลือกฝากท้องไว้ที่นี่แหละค่ะ ซึ่งถือว่าสะดวกสบาย ห้องน้ำห้องท่าก็สะอาด แถมมีของฝากให้เราได้เลือกซื้อกันได้แบบไม่อั้น ที่สำคัญสำหรับนักท่องเที่ยวสามารถทำ Tax Free ได้ด้วยน่ะ ที่นี่เปิดบริการทุกวันไม่มีวันหยุด หากได้ผ่านมาทางนี้ก็อย่าลืมลองแวะดูนะคะ

มื้อเที่ยง

ที่อยู่  : 80-1 Nakadori, Nunome, Tsuruoka-shi, Yamagata 997-0851
เวลาเปิด-ปิด : 9.00 – 18.00 น.
เว็ปไซต์ : http://yamagata-shonai.com/spot_souvenir.html

เก็บองุ่น Sakuma Rihei Tourism Farm

ฟาร์มองุ่น Sakuma Tobei เป็นสถานที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาสัมผัสและชิมองุ่นหลากหลายสายพันธุ์กันสดๆจากฟาร์มกันแบบไม่อั้น เจ้าของฟาร์มน่ารักมากๆพอไปถึงไม่รอช้า รีบแจกถังเล็กๆให้พวกเราคนละใบ และพาเดินแนะนำพันธุ์องุ่นต่างๆ รวมถึงแนะนำวิธีการเด็ด งง กันละสิว่าถังนี้แจกมาทำไม ก็เอาไว้สำหรับเวลาเด็ดกินแล้วทิ้งเปลือกหรือก้านองุ่น เพื่อรักษาความสะอาดบริเวณภายในฟาร์ม และองุ่นที่ได้รับให้เป็นอันดับ 1 ก็คือ สายพันธุ์ Shine Muscat จะออกผลและพร้อมให้เก็บกันในช่วงต้นกันยาไปจนถึงปลายตุลาคม ส่วนอันดับ 2 ก็เป็นสายพันธุ์ Seto Giants จะออกผลและพร้อมให้เก็บกันในช่วงต้นกันยาไปจนถึงปลายตุลาคมเช่นเดียวกัน  รู้อย่างนี้แล้วจะรอช้ากันทำไม พวกเราก็พุ่งตัวไปทันทีเลย สมแล้วที่ได้รับให้เป็นอันดับ 1 คือมันอร่อยมาก กรอบ หวาน คือทุกอย่างลงตัวหมด อ่อลืมบอกค่ะ วิธีการเด็ดองุ่นกินนั้นจะต้องเด็ดจากด้านลงแล้วค่อยไล่ๆลงมาด้านล่างเป็นสเต็ปๆไปค่ะ

ในวันที่ฝนตกก็ไม่ต้องกลัวเลยว่าจะเปียกแฉะ บริเวณสวนองุ่นมุ่งด้วยหลังคาพลาสติกไม่มีเปียกแน่นอนหมดกังวลได้ นอกจากนี้ภายในสวนมีม้านั่ง ห้องน้ำ ไว้บริการลูกค้า คือเป็นอะไรที่ชอบและเพลินมากๆ แต่เสียดายที่เรากินได้ไม่เยอะเพราะรู้สึกแน่นท้องแล้วอิ่มจากมื้อกลางวันอยู่เลย ไว้จะกลับมาอีกรอบแน่นอน รู้สึกว่ารอบนี้ยังกินไม่จุใจ  สำหรับใครที่สนใจมาเก็บองุ่นแนะนำให้โทรจองก่อนล่วงหน้านะคะ

ที่อยู่ : 65 Nishi-Araya Sugishita, Tsuruoka City, Yamagata Prefecture 997-0332
โทร : 090-5182-5817 
ค่าบริการ : เก็บองุ่นกินไม่อั้น ภายใน 1 ชั่วโมง
(สิงหาคม)
เด็กอายุไม่เกิน 2 ปี ฟรี
– เด็กก่อนวัยเรียน 300 เยน
– เด็กนักเรียนประถม  600 เยน
(เดือนกันยายน/ตุลาคม)
– เด็กอายุไม่เกิน 2 ปี ฟรี
– เด็กอายุ 3 ปีขึ้นไป 500 เยน
– นักเรียนประถม 1000 เยน
– นักเรียนมัธยม 1200 เยน
เวลาเปิด-ปิด : 9.00-16.00
การเดินทาง : จากสถานี Tsuruoka นั่งแท็กซี่ประมาณ 20 นาที
เว็ปไซต์ : https://shonai-yamagata.com/sightseeing-spot/grape-sakumarihei/

แวะร้านค้าท้องถิ่น (Sanchokuaguri)

หลังจากเพลิดเพลินกับการเก็บองุ่นแล้ว ระหว่างทางแวะร้านขายของท้องถิ่น ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับฟาร์มองุ่น Sakuma Rihei Tourism Farm ที่นี่เป็นแหล่งรวมสินค้าท้องถิ่นที่ชาวบ้านนำมาวางขาย มีทั้งขายผลไม้ พืชผักสวนครัว ของที่ระลึกท้องถิ่นและวัตถุดิบอื่นๆ ที่ทั้งสดๆทั้งใหม่ส่งตรงจากสวนเลย ซึ่งราคาไม่แพงเลย

ที่อยู่ : Sugishita-106-3 Nishiaraya, Tsuruoka, Yamagata 997-0332, Japan

และโปรแกรมสุดท้ายของเราสำหรับวันนี้ก่อนจะเข้าโรงแรม เราจะพาไปชมพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำที่ Kamo Aquarium

ชมพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำคาโมะ (Kamo Aquarium)

พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำคาโมะ เรียกว่าเป็นไฮท์ไลท์ของโปรแกรมสำหรับวันนี้เลย เพราะมันเป็นสถานที่ๆเราเคยตั้งใจอยากจะมาสักครั้งหนึ่ง แน่นอนว่ามันเป็นสถานที่ๆหลายคนอาจจะเคยคุ้นหูคุ้นตากับภาพแมงกะพรุนบนตู้ขนาดใหญ่ แต่ไม่รู้ว่ามันคือที่ไหน และวันนี้เราจะพาทุกคนมาชมกันแบบให้อิ่มตากันไปเลย

พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำคาโมะ ตั้งอยู่เลียบชายฝั่งทะเลเมือง Tsuruoka เป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงโชว์สัตว์ทะเลต่างๆ เต่า ปลาหลากหลายสายพันธุ์ ปลาหมึก หอย บลาๆ และทีเด็ดเลยคือแมงกะพรุน  เรียกได้ว่าเขาได้นำเอาแมงกะพรุนมากมายหลายสายพันธุ์มาจัดแสดงโชว์ในตู้ไฟ แบบจัดหนักจัดเต็มมาก ยิ่งเวลาเจ้าแมงกะพรุนพากันแวกว่ายและปล่อยแสง สวยงามตื่นตาตื่นใจมาก ที่นี่ถูกบันทึกลงในกินเนสบุคส์ว่าเป็นสถานที่จัดแสดงแมงกะพรุนยิ่งใหญ่มากที่สุดอันดับ 1 ของโลกเลยล่ะ

และเมื่อเดินลึกเข้าไปเราเซอร์ไพร้ทมากกับภาพข้างคือตู้แมงกะพรุนขนาดยักษ์ พร้อมแมงกะพรุนจำนวนมหาศาลกำลังเปล่งแสงระยิบระยับสวยงามมากๆ ทำเอารู้สึกตัวอีกทีไปยืนอยู่หน้าตู้ซะแล้ว เป็นภาพที่เห็นแล้วรู้สึกฟินและประทับใจมากๆเลยล่ะ ขณะเดียวกันเราได้เรียนรู้และเข้าใจวิถีชีวิตของพวกเขา รวมไปถึงสัตว์ทะเลชนิดอื่นๆ ว่าเขาใช้ชีวิตและดำรงชีวิตอยู่กันยังไง

นอกจากเราจะได้สนุกและตื่นตาตื่นใจกับความสวยงามของพวกเขากันแล้วเรายังได้ความรู้กลับมาอีกด้วย ดีจังเลยเนอะ บริเวณทางออกจะพบกับร้านขายของฝากของที่ระลึกของทางพิพิธภัณฑ์ เราสามารถเลือกซื้อเลือกกลับไปเป็นของฝากให้เพื่อนให้แฟนกันได้อีกด้วย

ที่อยู่ : Okubo-657-1 Imaizumi, Tsuruoka, Yamagata 997-1206
ค่าเข้าชม : ผู้ใหญ่ อายุมากกว่า 15 ปีขึ้นไป 1,000 เยน, เด็กอายุ 6-15 ปี 500 เยน
เวลาเปิด-ปิด : 9.00 – 17.00
การเดินทาง : จากสถานี Tsuruoka นั่งรถบัสมาลงป้าย Kamo Suizokukan 加茂水族館 (Kamo Aquarium)ใช้เวลาประมาณ 30 นาที หรือนังแท็กซี่ประมาณ 20-30 นาที
เว็ปไซต์ : https://kamo-kurage.jp/english/

และวันนี้เราจะพาไปปิดท้ายกันกับภาพความประทับสวยๆจากโรงแรมกันค่ะ รู้สึกว่าวันนี้จะเป็นวันที่ได้อิ่มทั้งตาและอิ่มทั้งท้อง รู้สึกฟินไปอีก

พักที่ Hotel Sun Resort Shonai

จากพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำมาโรงแรม นั่งแท๊กซี่ประมาณ 30 นาที ก็ทันเวลาพระอาทิตย์ตกดินพอดี ซึ่งเป็นอีกหนึ่งไฮท์ไลท์ของวันนี้เลย พวกเรารีบพากันเช็คอินแล้วนำสัมภาระขึ้นไปเก็บบนห้อง แล้วรีบเดินออกมาระเบียงของห้องเพื่อชมพระอาทิตย์ตกดิน มันเป็นวิวที่หาชมได้ยากมาก เสียงคลื่นทะเลซัดเบาๆท้องฟ้าสีส้มตัดกับคลื่นน้ำทะเล พระอาทิตย์ค่อยๆลับขอบฟ้าไป เป็นภาพแห่งความประทับใจที่ไม่ลืมเลย นอกจากเราจะสามารถชมพระอาทิตย์ตกดินได้จากบนห้องแล้ว เรายังสามารถไปแช่ออนเซนชมพระอาทิตย์ตกดินได้แบบเพลินๆเลย

มาต่อกันที่เรื่องห้อง คืนนี้พวกเราจองห้องพักเป็นแบบ Japanese Style ก็คือนอนบนฟูกเพื่อสัมผัสและดื่มด่ำบรรยากาศให้เต็มที่ ภายในห้องกว้างขวาง อุปกรณ์ข้าวของเครื่องใช้ครบครัน ห้องน้ำห้องอาบน้ำในตัว หรือถ้าใครอยากแช่ออนเซนก็เช่นได้กันที่ชั้น 1 หน้าล๊อบบี้เลย

หลังจากที่นั่งดื่มด่ำกับวิวพระอาทิตย์ตกดินแล้วก็ได้เวลาอาหารค่ำ เช่นเคยว่าไปกับพวกเราแล้วจะไม่ผิดหวังเรื่องกิน จัดชุดใหญ่ไฟกระพริบทุกมื้อแน่นอน

ที่อยู่ : 3-17-21, Yura, Tsuruoka-shi, Yamagata, 999-7464
การเดินทาง : นั่งแท็กซี่จากสถานี Tsuruoka ประมาณ 20-30 นาที หรือนั่งบัสไปลง
Yura Hot Spring Bus Stop ประมาณ 45นาที แล้วเดินต่ออีกประมาณ 900 เมตร
เว็ปไซต์ : http://sunresort-shonai.net/en/

โปรแกรม : Day 5 เที่ยวตลาดปลา Minato Market/ Sakatakaisen Market -> Sankyo soko  โกดังเก็บข้าวในสมัยเอโดะ -> Honma-ke  เยี่ยมชมบ้านของตระกูลฮนมะ -> Nico มื้อเที่ยงกับอาหารฝรั่งเศลสูตรพิเศษ -> Sanno Club ชมหัตถกรรมโบราณแบบดั้งเดิม -> Somaro ชมการแสดง Maiko

วันนี้ก็เป็นวันสุดท้ายของทริปแล้ว พวกเรายังมีแรงเหลืออีกเยอะที่จะเที่ยวต่อในวันนี้ โปรแกรมของพวกเราในวันนี้ก็ชิลๆ และยังคงอยู่ยามากาตะแต่เราจะไปย้ายเมืองไปเที่ยวกันต่อที่เมือง Sakata ซึ่งเป็นเมืองท่าและเมืองสำคัญของยามากาตะ

เที่ยวตลาดปลา Minato Market/ Sakatakaisen Market

เช้าๆเริ่มกันที่ตลาดปลาด Minato Market/ Sakatakaisen Market ตลาดแห่งนี้ตั้งอยู่ติดกับท่าเรือ Sakata เป็นตลาดที่วางขายทั้งปลาสดและอาหารแปรรูป จะซื้อแบบแพคสำเร็จ หรือจะซื้อเป็นตัวๆก็ได้ ที่นี่เขาเต็มไปด้วยปลาสดๆใหม่ๆที่จับขึ้นจากทะเลทุกวัน บริเวณชั้น 2 จะเป็นคาเฟ่และร้านอาหารซีฟู้ด เราสามารถลิ้มรสความอร่อยของอาหารทะเลกันสดๆพร้อมกับวิวทะเลด้านหน้า และในช่วงฤดูร้อนเรายังสามารถอร่อยกับเมนูหอยนางรมของที่นี่ นับเป็นตลาดปลาที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของยามากาตะ และที่ได้รับการแนะนำว่าเป็นสถานที่กินที่แนะนำของ Sakata จาก Michelin Green Guide Japan ด้วย

ที่อยู่ : 2-5-10, Funaba-cho, Sakata-shi, Yamagata 998-0036
เวลาเปิด-ปิด : 8.00 – 18.00 น. (เปิดทุกวันที่ 1 มกราคม ของทุกปี)
การเดินทาง : นั่งแท็กซี่ประมาณ 5 นาที จากสถานี Sakata หรือ นั่งบัส สาย Sakata Yamadera  (酒田山寺線) ลงป้าย Yamaginzen Bus Stop เดินต่ออีก 400 เมตร

ต่อด้วยพาไปย้อนรอยสถานที่ถ่ายทำโอชิน หญิงสาวสู้ชีวิต เป็นละครที่ทำเอาน้ำตาไหลกันทั่วบ้านทั่วเมือง

Sankyo soko  โกดังเก็บข้าวในสมัยเอโดะ

ตามรอยโอชิน Sankyo Soko (山居倉庫) สถานที่ถ่ายทำละครโอชินใครที่เป็นแฟนละครโอชินน่าจะคุ้นๆกับสถานที่นี่ดี สถานที่ตรงนี้เป็นโกดังเก็บข้าวของเมือง Shonai สร้างขึ้นโดยตระกูลซาไก และถูกใช้งานมานานกว่า 123 ปี ในยุคก่อนการขนส่งข้าวจะขนส่งทางเรือสำเภา และข้าวของที่นี่จะถูกส่งต่อไปยังโอซาก้า ด้วยภูมิปัญญาของคนสมัยนั้นได้ปลูกต้นไม้เป็นแนวยาวเอาไว้เพื่อช่วยบังแดดลดอุณหภูมิในช่วงหน้าร้อน และทำหลังคาสองชั้นเพื่อปกกันความชื้นภายใน

เราสามารถเดินเล่นและเพลิดเพลินกับการถ่ายรูปบริเวณด้านหลังของโรงเก็บข้าว เราจะพบกับไปด้วยต้นเคยากิที่มีอายุมากถึง 150 ปี เป็นแถวเรียงยาว ซึ่งบริเวณนี้เรียกว่าเป็นจุดฮอตมากสำหรับการถ่ายรูป ซึ่งจะเห็นความสวยงามแตกต่างกันไปในแต่ละฤดู

บริเวณด้านหน้าจะเป็นช้อปสำหรับขายของฝากของที่ระลึก เลือกซื้อเลือกหาของฝากกันได้ที่บริเวณนี้ สถานที่แห่งนี้ก็ได้รับเป็นสถานที่แนะนำบท Michelin Green Guide: Japan ด้วยเช่นกัน

โซนของฝาก

ที่อยู่ : 1-1-20 Sankyocho, Sakata-shi, Yamagata
เวลาเปิด-ปิด : 9:00-17:00 น.
การเดินทาง : จากสถานี Sakata เพียง 5 นาที โดยแท็กซี่ หรือนั่งบัสสาย Sakata station college
จากสถานี Sakata ลงป้าย Sankyosokomae เพียง 8 นาที
เว็ปไซต์ : https://sakatacity.com/todo/sankyo-soko-rice-storehouses/

และนี้ก็เพิ่งจะ 11 โมง พวกเราไปต่ออีกสักที่ก่อนจะเบรคทานข้าวเที่ยงกัน นั่งแท๊กซี่ไปเพียงแค่ 10 นาที รถก็จอดหน้าบ้านของตระกูลฮนมะ

Honma-ke  เยี่ยมชมอดีตบ้านของตระกูลฮนมะ

ฮนมะเกะ (Honma-ke) บ้านตระกูลใหญ่โตของเมืองซาคาตะ อาคารเก่าแก่ที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์มากมายในซากาตะ เดิมทีเป็นบ้านพักอาศัยของตระกูลฮนมะและได้ทำการสร้างขึ้นมาใหม่ในปีค.ศ. 1786 โดยตระกูลฮนมะเลย บ้านหลังนี้เคยใช้เป็นสถานที่พำนักของคณะฑูต และเมื่อคณะฑูตเดินทางกลับ ตระกูลซาไกก็ได้เข้าไปอยู่บ้านจนถึงปี 1945  ตัวอาคารและภายในอาคารถูกออกออกมาแบบผสมผสานโครงสร้างบ้านของซามูไรและบ้านพักพ่อค้า นับว่าเป็นสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นและหาชมได้ยาก ปัจจุบันยังคงอนุรักษ์ความเก่าแก่เอาไว้ให้คนรุ่นหลังได้เข้าไปศึกษา

ภายในบ้าน

ภายในบ้านจะมีข้าวของเครื่องใช้ที่ใช้จริงในยุคนั้นจัดแสดงโชว์ตามห้องต่างๆ และมีจัดแสดงตุ๊กตาโบราณไว้ให้ผู้มาเยือนได้ชมกันอีกด้วย

บริเวณจัดแสดงโชว์ตุ๊กตาโบราณ

ที่อยู่ : 12-13 Nibancho, Sakata City, Yamagata Prefecture 998-0045, Japan
ค่าเข้าชม : นักเรียนประถม 200 เยน, นักเรียนมัธยม 300 เยน, ผู้ใหญ่ 800 เยน
เวลาเปิด-ปิด : มี.ค – ต.ค  9.30-16.30, พ.ย – ก.พ 9.30-16.00 (ปิด กลางธันวาคมไปจนถึงปลายมกราคม)
การเดินทาง : นั่งบัสสาย Sakata station college จากสถานี Sakata ลงป้าย Nibancho 6 นาที หรือแท็กซี่แค่ 4 นาที
เว็ปไซต์ : http://hommake.sakura.ne.jp/

Nico มื้อเที่ยงกับอาหารฝรั่งเศลสูตรพิเศษ

มื้อเที่ยงสุดหรูกับเมนูอาหารฝรั่งเศลสูตรพิเศษของทางร้าน ร้านอาหาร Nico เป็นร้านอาหารสไตล์ฝรั่งเศลที่เปิดมานานถึง 11 ปี  ในเมือง Sakata โดยเชฟ Shuji Ota ได้สืบทอดต่อจากคุณพ่อ อาหารของที่นี่จะมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว และมีขั้นตอนการทำอย่างพิถีพิถันและเลือกใช้วัตถุดิบท้องถิ่น ดูจากการจัดจานรู้เลยว่าเชฟเข้าไม่ได้เพียงแค่ต้องการให้มันสวยงามแต่ใส่ใจลงไปด้วย เป็นร้านที่อยากแนะนำให้ลองมาทานดู ไม่เพียงแค่ความอร่อยเรายังสัมผัสถึงความรัก ความอบอุ่น ความใส่ใจ ที่เชฟได้ตั้งใจจัดใส่จานมาเสิร์ฟให้แก่ลูกค้า

บรรยากาศภายในร้าน

เมนูของเรา

ที่อยู่ : 3-7-2 Kamegasaki, Sakata 998-0842, Japan
เบอร์โทร :  0234-28-9777
เวลาเปิด-ปิด : มื้อกลางวัน 11.30-14.30 (LO13: 30), มื้อค่ำ 17.30-21.30 (LO20: 30) หยุดทุกวันจันทร์
การเดินทาง : จากสถานี Sakata นั่งแท็กซี่ประมาณ 6-8 นาที หรือเดินทางจาก Sankyo soko ประมาณ 1 กม.
เว็ปไซต์ : http://nico-sakata.com/top/

Sanno Club สถาปัตยกรรมโบราณแบบดั้งเดิม

ซันโนคลับ (SannoClub) อาคารภัตตาคารสุดหรูของญี่ปุ่นในสมัยก่อนที่มีชื่อเสียงมากใน Sakata สร้างขึ้นเมื่อปี 1895 หรือเมื่อ 124 ปีที่ผ่านมา ภายหลังร้านอาหารแห่งนี้ได้รับการปรับปรุงให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่จัดแสดงนิทรรศการหลายประเภทเช่น รายการที่เกี่ยวกับเรือบรรทุก Kitamae ในสมัยเอโดะ งานศิลปะโดยผู้ผลิตตุ๊กตาญี่ปุ่นชื่อดัง Jusaburo Tsujimura และเครื่องประดับแขวน Kasa Fuku (Kasa แปลว่า ร่ม, Fuku แปลว่า โชคลาภ รวมกันแล้วก็คือร่มแห่งความโชคลาภนั่นเอง)

นับว่าเป็นอาคารที่มีสถาปัตยกรรมทางประวัติศาสตร์ที่นำเสนอเรื่องราววัฒนธรรมความเป็นมาของเมืองซากาตะได้เป็นอย่างดี การออกแบบของแต่งละห้องนั้นแตกต่างกันไป

ขึ้นไปบริเวณชั้น 2 ของอาคาร จะพบกับคาสะฟุคุจำนวนมากมาย ถูกแขวนไว้ใต้ร่ม ถือเป็นงานศิลปะแขนงหนึ่งที่แสดงออกมาถึงงานฝีมือที่สวยงาม คาสะฟุคุ ทำจากเศษผ้าทำเป็นหุ่นตัวเล็กๆรูปต่างๆและนำมาตกแต่งแขวนไว้ที่ร่ม เพื่อขอพรให้ตัวเองและครอบครัวมีความสุข ค้าขายเจริญรุ่งเรือง มีโชคลาภ มีสุขภาพแข็งแรง Sakata kasa fuku เป็นหนึ่งในสามของประดับตกแต่งที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น

นอกจากนี้ยังมี Motomura Kotobuki-no-Mama ที่สร้างหุ่น Sakata no Hina Asobi, Maiko และ Hana Usagi สร้างโดยคุณ Tosaburo Kashimura สำหรับใครที่สนใจอยากลองทำคาสะฟุคุ ที่นี่เขามีกิจกรรมให้ลองทำด้วยเพียง 1,000 เยน

ที่อยู่ : 2 Chome-2-25 Hiyoshicho, Sakata, Yamagata 998-0037
ค่าเข้าชม : ผู้ใหญ่ 800 เยน
เวลาเปิด -ปิด : 9.00 -17.00 น. หยุดทุกวันอังคาร ตั้งแต่ธันวาคม – กุมภาพันธ์ หรือวันถัดไปถ้าวันอังคารเป็นวันหยุด และวันหยุดปีใหม่ สำหรับตั้งแต่เดือน มี.ค – พ.ย เปิดทุกวัน
การเดินทาง : นั่งบัสสาย Sakata Yamadera (酒田山寺線) จากสถานี Sakata ลงป้าย
Kotobukimachi ประมาณ 3 นาที แล้วเดินต่ออีก 300 เมตร
เว็ปไซต์ : http://sannou.matizukuri.info/

ย้อนรอยพาชมการแสดง Maiko ที่ Somaro

ชมการแสดง Maiko ที่ “somaro” เมือง Sakata จังหวัดยามากาตะ แน่นอนว่าน่าจะคุ้นๆหรือเคยเห็นกันที่เกียวโตและเป็นการแสดงที่มีมาแต่ช้านาน การแสดงร่ายรำไมโกะเป็นการแสดงที่สร้างเสียงเพลงสร้างความครึกครื้นให้กับแขกในงานเลี้ยงหรืองานต้อนรับถือเป็นการแสดงที่น่าประทับใจมากๆ มีเพียงวันละ 1 รอบเท่านั้น เสียดายมากๆค่ะที่ระหว่างการแสดงเขาห้ามถ่ายรูป แต่หลังจากการแสดงจบลง เราสามารถถ่ายรูปคู่กับไมโกะได้ด้วย  เสร็จจากชมการแสดงเราสามารถเดินเยี่ยมชมภายในบ้านต่อ ตรงนี้เราสามารถเลือกชมเฉพาะตัวอาคารเพียงอย่างเดียวก็ได้ ค่าเข้าชมก็จะแตกต่างกันไป

ภายในบ้านไมโกะ

ตัวอาคารนั้นได้รับการปรับปรุงใหม่ เนื่องจากได้รับความเสียหายจากแผ่นดินไหวใหญ่ในช่วงปีเมจิที่ 27 และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมในปี 1996 นอกเหนือจากนี้เรายังสามารถนั่งชิลชมสวนสไตล์ญี่ปุ่น หรือนั่งจิบชาที่ห้องชิมชาบริเวณชั้น 2 ของอาคาร ถ้าต้องการหาซื้อของฝากดูได้ที่ชั้น 1 ของอาคาร ตรงบริเวณทางเข้าเลย เป็น 1 สถานที่ของนีกาตะที่ควรค่าแก่การมาชม

ของฝาก

ที่อยู่ : Somaro, 1-2-20 Hiyoshicho, Sakata, Yamagata 998-0037
เวลา : 10:00 – 17:00 (หยุดทุกวันพุธ) การแสดง Maiko 14.00 (มีเพียงวันละรอบเท่านั้น)
ค่าเข้าชม : ผู้ใหญ่ 1,000 เยน, นักเรียน 500 เยน, เด็กเล็กฟรี (ค่าเข้าชมอาคารอย่างเดียว), ค่าเข้าชมการแสดงไมโกะ (ผู้ใหญ่ +800 เยน, เด็กนักเรียน +500 เยน)
การเดินทาง : จากสถานี Sakata แท๊กซี่ประมาณ 5 นาที หรือเดินชิลๆเพียง 1.5 กม.
เว็ปไซต์ : https://www.somaro.net/

สำหรับตอนที่ 2 พาเที่ยวสถานีที่สุด Unseen จังหวัดยามากาตะก็ได้จบลงแล้ว และได้เวลาเดินทางกลับโตเกียวกันแล้ว จาก Sakata เรานั่งรถไฟสายด่วน Ihaho ไปลงนีกาตะ แล้วต่อชินคังเซนเข้าโตเกียว บายๆนีกาตะ ยามากาตะ

เป็นไงกันบ้างคะกับที่เที่ยวสุด Unseen ของ 2 เมือง เราเชื่อว่าบางสถานที่แทบจะไม่มีคนรู้จักเลยแม้แต่คนญี่ปุ่นเองยังต้องพูดว่า มันมีที่แบบนี้ด้วยหรอ? เป็นทริปที่เรียกว่าได้ท่องเที่ยวแบบครบรสชาติจริงๆ ได้เที่ยวกันแบบคุ้มมากๆได้ทั้งสัมผัสธรรมชาติ วัฒนธรรม แถมได้รู้เรื่องราวประวัติศาสตร์ของแต่ละที่อีกด้วย การเดินทางไปเที่ยวแต่ละสถานที่นั้นไม่ยากเลยนะคะ ถึงแม้บางที่รถไฟจะเข้าไม่ถึง แต่ก็สามารถเดินทางด้วยบัสหรือแท็กซี่ได้อย่างสะดวกสบาย ใครสะดวกเที่ยวแบบ 3 วัน 3 คืน หรือ 2 วัน 1 คืน ก็เลือกได้เลย หรือเลือกพี่เสียดายน้อง อยากจัดเต็มๆทั้ง 2 จังหวัดก็จัดไปโลดจ้า

To Top